วิหารยักษ์กลางทะเลทราย Abu Simbel Temples
เที่ยวอียิปต์ทั้งที ต้องมี “อาบูซิมเบล” ใน Bucket List!
Abu Simbel Temples มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์กลางทะเลทราย สุดยอดมรดกโลกแห่งอียิปต์ตอนใต้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในประเทศอียิปต์ ประกอบด้วยวิหารหินสองแห่งที่สร้างขึ้นโดยฟาโรห์รามเสสที่ 2 เพื่ออุทิศให้กับตนเองและพระนางเนเฟอร์ตารี มเหสีของพระองค์
วิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel Temples) คืออะไร?
วิหารอาบูซิมเบล คือกลุ่มวิหารหินแกะสลักขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่ใน เมืองอาบูซิมเบล ทางตอนใต้ของอียิปต์ ใกล้ชายแดนประเทศซูดาน วิหารนี้ถูกสร้างขึ้นโดย ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ในช่วงศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสตกาล เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระองค์เอง และราชินีเนเฟอร์ตารี ภรรยาผู้เป็นที่รัก
จุดเด่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก
1. รูปปั้นขนาดยักษ์สูง 20 เมตร
วิหารใหญ่มีรูปสลักของ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 จำนวน 4 องค์ที่หน้าทางเข้า แต่ละองค์สูงกว่า 20 เมตร แสดงถึงอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เหนือทั้งอียิปต์และนูเบีย
2. ปรากฏการณ์แสงอาทิตย์สุดแม่นยำ
ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และ 22 ตุลาคม ของทุกปี ดวงอาทิตย์จะส่องเข้ามาภายในวิหารตรงพอดีกับรูปสลักของเทพเจ้า รา (Ra), อาเมน (Amun) และ รามเสสที่ 2 ขณะที่เว้นไม่กระทบเทพ Ptah (เทพแห่งความมืด) สะท้อนถึงความรู้ด้านดาราศาสตร์และวิศวกรรมอันล้ำสมัยของชาวอียิปต์โบราณ
3. การย้ายวิหารครั้งยิ่งใหญ่ของโลก
ในปี ค.ศ. 1960 วิหารอาบูซิมเบลต้องเผชิญกับอันตรายจากการสร้างเขื่อนอัสวาน ชาวอียิปต์ร่วมกับ UNESCO ได้ดำเนินการย้ายวิหารทั้งสองแห่งไปยังที่สูงกว่าเดิม 65 เมตร และห่างจากตำแหน่งเดิม 200 เมตร — นับว่าเป็น โครงการอนุรักษ์โบราณสถานที่ใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20
- เป็น มรดกโลกของ UNESCO ตั้งแต่ปี 1979
- เป็น 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวอียิปต์ใต้ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
- ประสบการณ์ที่สัมผัสได้ทั้งศิลปะ ประวัติศาสตร์ และศรัทธา
- การเดินทางจากอัสวานง่าย ทั้งทางเครื่องบิน รถบัส หรือทัวร์
เตรียมพร้อมก่อนเยือนวิหารอาบูซิมเบลดังนี้
1. แต่งกายให้ดูสบายคล่องตัว เนื่องจากวิหารอาบูซิมเบลและสภาพแวดล้อมโดยรอบนั้นค่อนข้างแห้งแล้ง มีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงบ่าย และหากเดินทางไปช่วงฤดูร้อน (ประมาณเดือนมิถุนายน – สิงหาคม) จะพบกับคลื่นความร้อนสูง จึงขอแนะนำนักท่องเที่ยวให้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเบาสบายและระบายอากาศได้ดี อย่าพกสิ่งของหนักเกินความจำเป็น สวมรองเท้าหุ้มส้นที่ให้ความคล่องตัว ที่สำคัญคือแนะนำให้เตรียมอุปกรณ์กันแสงแดดต่าง ๆ เช่น แว่นกันแดด ครีมกันแดด หมวกกันแดด รวมถึงพกน้ำติดตัวไว้ในการจิบตลอดทางซึ่งจะช่วยป้องกันอาการฮีทสโตรกได้
2. ตรวจสอบค่าเข้าชมวิหารอาบูซิมเบล ซึ่งจะตกอยู่ที่ประมาณ 600 ปอนด์อียิปต์ แต่เพื่อความชัวร์แนะนำให้คุณตรวจสอบราคาค่าเข้าในช่วงใกล้ ๆ เดินทาง เพราะราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้พื้นที่ภายในวิหารจะมีโซนที่ห้ามถ่ายรูปอยู่ หากต้องการถ่ายรูปจะต้องเสียค่าอนุญาตเพิ่มเติม
3. ศึกษาประวัติก่อนเดินทาง เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวให้ฟินไปอีกขั้น เราแนะนำให้คุณศึกษาประวัติความเป็นมาของวิหารอาบูซิมเบลแบบพอสังเขป ซึ่งจะช่วยปะติดปะต่อเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้หากคุณต้องการเพิ่มอรรถรสในการรับชมแนะนำให้ลองจ้างไกด์ท้องถิ่นนำเที่ยว ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจในรายละเอียดต่าง ๆ ขณะเที่ยวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
4. ทำตามกฎระเบียบเข้าชมอย่างเคร่งครัด ทุกสถานที่ท่องเที่ยวย่อมมีกฎระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งวิหารอาบูซิมเบลก็เช่นกัน แนะนำให้คุณแต่งกายสุภาพเรียบร้อย เนื่องจากเป็นศาสนสถานสำคัญ รวมถึงอย่าถ่ายรูปในจุดห้ามถ่าย อย่าจับต้องศิลปะและงานแกะสลักภายใน และอย่าส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น
ประวัติความเป็นมา
มหาวิหารอาบูซิมเบล ถูกสร้างขึ้นในสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของอียิปต์จากการสู้รบกับนูเบีย และเป็นการข่มขวัญนูเบียไม่ให้มายุ่งกับอียิปต์อีก โดยใช้เวลาในการสร้างถึง 20 ปี ต่อมามหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกปล่อยทิ้งร้าง จนกระทั่งในปี 1813 โจฮัน ลุดวิก เบิร์คฮารดต์ นักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวัฒนธรรมตะวันออกชาวสวิสเซอร์แลนด์ ได้ค้นพบส่วนบนของมหาวิหารแห่งนี้ แต่ไม่สามารถขุดเข้าไปภายในมหาวิหารได้ ใช้เวลาถึง 3 ปีจึงสามารถเข้าไปภายในได้และพบสิ่งของมีค่ามากมายภายในมหาวิหารแห่งนี้ จุดเด่นของวิหารแห่งนี้คือ รูปแกะสลักองค์ฟาโรห์รามเลส ที่นั่งประทับอยู่บนบัลลังก์หน้าวิหารถึงสี่องค์ แต่ละองค์มีความสูง 20 เมตร ต่อมาในปี 1964 ได้มีการเคลื่อนย้ายมหาวิหารเนื่องจากเป็นผลมาจากการสร้างเขื่อนอัสวาน ทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบนัสเซอร์สูงขึ้น จึงมีการเคลื่อนย้ายเพื่อหนีน้ำ ถูกยกสูงขึ้นถึง 65 เมตร และห่างจากแม่น้ำ 200 เมตร โดยมีองกรค์ยูเนสโก้ให้ความช่วยเหลือใช้งบประมาณกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ